วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

Hedge คืออะไร

Hedge คืออะไร

คำศัพท์คำหนึ่งที่มีใช้ทั้งในส่วนของการเทรดหุ้น และการเทรด forex โดยอาศัยหลักการเดียวกันแต่กรรมวิธีทำแตกต่างกัน จนมีบทความใน Internet บางบทความเขียนสับสนหรือเอามาปะปนกัน ทำให้เมื่อผมเข้ามาเล่น Forex ใหม่ๆ ผมได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับคำคำนี้ เล่นเอาผมสับสนไปพักหนึ่งเลยทีเดียว คำคำนั้นคือ Hedge ครับ เรามาดูรายละเอียดกันครับ

Hedge คืออะไร

Hedge หรือการทำ Hedging คือวิธีการในการประกันความเสี่ยงของการลงทุน ด้วยวิธีการเปิดรายการซื้อ(buy) และขาย(sell) เงินสกุลเงินเดียวกันในเวลาคาบเกี่ยวกัน
เช่น ถ้าคุณเทรด EUR/USD คุณเปิดทั้งออเดอร์ Buy และ Sell ไว้อย่างละ 1 ออเดอร์ ออเดอร์ละ 1 lot ดังนั้น ไม่ว่าราคาจะวิ่งไปในทิศทางใด คุณก็จะไม่มีทางได้หรือเสียเงิน ยอดรวมบัญชีของคุณจะความสมดุล หรืออาจกล่าวได้ว่า ความเสี่ยงในการเทรดของคุณเป็น 0 หลักการนี้จึงถูกนำไปประยุกต์ในในตอนที่คุณต้องการประกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด หรือตอนรู้ตัวแล้วว่าเทรดผิดทางครับ
ตัวอย่างเช่น
  • เปิด buy เวลา 9:00น. เปิด sell เวลา 11:00น. ปิด sell เวลา 13:00น. ปิด buy เวลา 14:00น. -->> เป็น Hedging
  • เปิด buy เวลา 9:00น. ปิด buy เวลา 11:00น. เปิด sell เวลา 13:00น. ปิด sell เวลา 14:00น. -->> ไม่เป็น Hedging (เป็นการเทรดปกติ ไม่ใช่เทรดแบบประกันความเสี่ยง)
* แต่ถ้าเป็นการเทรดหุ้น โดยปกติแล้วการทำ Hedge หรือการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน(Currency Hedging) จะกล่าวถึงวิธีการ 2 แบบใหญ่ๆคือ การใช้สิทธิ์ในการซื้อเงินตราต่างประเทศ(Option) และการใช้สัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า(Forward Contract) หรือใช้ตราสารอนุพันธ์ประเภท Futures ซึ่งรายละเอียดจะไม่ขอกล่าวนะครับ

ข้อควรรู้ของการทำ Hedge

  1. การทำ Hedge ดูเหมือนจะเสียค่าคอมมิชชั่น 2 รอบ แต่ถ้าคุณเลือกโบรกเกอร์ดีๆ เช่น ที่มีสเปรดน้อยๆ ถ้าทำ Hedge ไปซักพักจะพบว่าค่าคอมมิชชั่นหรือ สเปรด โดยรวมทั้งการซื้อและขายที่ Hedging ไว้จะน้อยกว่าการเทรดทางเดียวของโบรกบางโบรกเสียด้วยซ้ำ(มันหักลบจาก สเปรดทางบวก และลบ) ซึ่งผมมองว่าต่อให้เสียค่าคอมเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าล้างพอร์ตครับ
  1. การ Hedge จะใช้ในการเปิด หลังจากเปิดไม้แรกไปแล้วเกิดการผิดทางที่คิดไว้ อาจจะเกิดทะลุแนวรับหรือแนวต้านในกราฟ โดยทำเพื่อลดความศูนย์เสีย และคิดว่าสักพักกราฟจะวิ่งกลับมาราคาเดิมภายหลัง
เช่น เมื่อเราซื้อ Buy ไว้เพื่อรอให้ราคาขึ้นแต่เกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้นราคากลับตกลงมาต่ำกว่าราคาที่เราซื้อ buy ไว้ เราสามารถทำ Hedging โดยการเปิดขาย Sell ในทางตรงกันข้ามเพื่อจำกัดการขาดทุนไว้ไม่ให้มากไปกว่านี้ครับ

วิธีการทำ Hedging forex

  1. การ Hedging แบบสมบูรณ์ : จะทำกับค่าเงินเดียวกัน ในขนาดสัญญาที่เท่ากัน
เช่น ค่าเงิน EUR USD ผมทำการ SELL ที่ราคา 1.3700 ขนาด 0.25 ล็อตไว้ ต่อมาราคาวิ่งขึ้นผิดจากทางที่ผมคิดไว้อย่างน่าตกใจ ผมก็ BUY ตามน้ำ ที่ราคา 1.3800 ขนาด 0.25 ล็อตเช่นกัน ราคาวิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงราคา 1.3950 ผมเห็นแล้วว่าเป็นแนวต้าน คิดว่ามันต้องหยุดแน่นอน ก็เลยปลดล็อคกำไรทาง BUY ซึ่งได้กำไรไป 150 จุด จากนั้นผมจะเหลือไม้ SELL ไว้ รอมันวิ่งกลับมาราคาเดิม อาจจะไม่ถึงราคาเดิมก็ได้แต่ก็หักลบอาจได้กำไรนิดหน่อย ซึ่งก็ยังดีกว่าขาดทุน
  1. การ Hedging แบบไม่สมบูรณ์ : จะทำกับค่าเงินเดียวกัน แต่ในขนาดสัญญาที่แตกต่างกัน
เช่น ค่าเงิน EUR USD ผมทำการ SELL ที่ราคา 1.3700 ขนาด 0.25 ล็อตไว้ ต่อมาราคาวิ่งขึ้นผิดจากทางที่ผมคิดไว้อย่างน่าตกใจ ผมก็ BUY ตามน้ำ ที่ราคา 1.3750 ขนาด 0.5 ล็อต ราคาวิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงราคา 1.3800 ผมจึงซื้อไม้สาม ขนาด 1 ล็อต ต่อมาวิ่งอีกถึงราคา 1.3850 ผมก็ซื้ออีก 1 ล็อต จะเห็นได้ว่าผมถือทั้งหมด 4ไม้จนเกิดกำไร
  1. Hedging ในกรณี ต่างค่าเงิน : เช่น SELL EUR /USD แต่ไป BUY GBP/USD ในเวลาเดียวกัน พอได้กำไรเมื่อไหร่ก็เลิกเลย หรือถือต่อไปตามแผนใจหรือแนวโน้มของตลาดครับ
  1. Hedging โดยใช้ OPtion หรือ binary option contracts : ซึ่งศาสตร์นี้จะลึกซึ้งขึ้นมาอีกหน่อย โดยจะมีเรื่องการหมดอายุสัญญามาให้ปวดหัว กลยุทธ์นี้จะยากขึ้นพลิกแพลงขึ้น ถ้าท่านเข้าใจก็จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ถ้า Hedge เป็นก็รวย ไม่เป็นก็อันตรายครับ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ Hedge

ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำ Hedge นั้นมีดังต่อไปนี้ครับ
1.ช่วยป้องกันความผันผวนของตลาด
ข้อแรกนี้ถือเป็นข้อที่มีความสำคัญมากที่สุดเลย คือป้องกันความผันผวนของตลาด ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่นการโจมตีฝรั่งเศสของผู้ก่อการร้ายทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 160 คนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ตลาด Forex ยุโรป มีการแกว่งตัวอย่างรุนแรง และคุณอาจได้รับผลกระทบในกรณีดังกล่าวด้วย
ตัวอย่าง
คุณ Buy EUR/USD ตั้งแต่ 1.4950 และราคาในปัจจุบันคือ 1.5000 แต่กำลังจะมีการประกาศข่าวที่สำคัญของค่าเงิน USD และคุณคาดว่าจะมีความผันผวนที่อาจทำให้ราคาวิ่งไปชนจุด Stop Loss ของคุณได้ คุณจึงจะหาทางที่จะปกป้องผลกำไรของคุณโดยการ Hedge เพื่อป้องกันความเสี่ยงของออเดอร์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเอา Stop Loss ของคุณออกได้ชั่วคราวในช่วงที่มีความเสี่ยงจากภาวะราคาผัวผวนมากๆจากข่าว และที่นี้คุณก็สามารถถืออเดอร์รอดูข่าวได้อย่างไม่ต้องมีความเสี่ยงใดๆ ถ้าข่าวที่ออกมาส่งผลดีกับออเดอร์แรกของคุณ (Buy) คุณก็สามารถปิดออเดอร์ Hedge (Sell) ของคุณได้เพื่อให้ ออเดอร์ Buy ของคุณวิ่งทำกำไรต่อไปในแนวโน้มขาขึ้น
  1. แก้ไขสถานการณ์เมื่อเทรดพลาด แล้วรอเข้าทำกำไร
เช่น เมื่อเราซื้อ Buy ไว้เพื่อรอให้ราคาขึ้นแต่เกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้นราคากลับตกลงมาต่ำกว่าราคาที่เราซื้อ buy ไว้ เราสามารถทำ Hedging โดยการเปิดขาย Sell ในทางตรงกันข้ามเพื่อจำกัดการขาดทุนไว้ แล้วรอกราฟวิ่งกลับมาราคาเดิมภายหลัง
ซึ่ง Hedge เป็นตัวอย่างหนึ่งในสามวิธีการแก้ปัญหานี้ กล่าวคือ
1 Cut loss ตัดขาดทุนไป หรือตัดกำไรที่ได้จากการเทรดโดยรักษาต้นทุนไว้
2 รอมันเด้งขึ้นมาแล้วปิด หลายคนจะลุ้นวิธีนี้ ซึ่งอาจจะไม่ได้โชคดีเสมอไป การเล่นแบบนี้เขาเรียกว่าเข้าข่ายเล่นพนันครับ
3 แก้ปัญหาโดยการ Hedging
3.ช่วยให้คุณทำกำไรได้เพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากการที่คุณจะป้องกันความเสี่ยงแล้วการทำ Hedge ยังสามารถช่วยให้คุณทำกำไร เมื่อราคามีการปรับตัวในราคาวิ่งไปตามแนวโน้ม ซึ่งจะทำให้ผลกำไรของคุณเพิ่มเป็น 2 เท่า กล่าวคือคุณจะได้กำไรจากทั้งการ Buy และ Sell ซึ่งในการใช้กลยุทธ์นี้ในการเทรด คุณควรจะต้องรู้ก่อนว่าจุดกลับตัว หรือจุด Retracement นั้นอยู่ตรงไหน เพื่อที่จะเข้าออเดอร์ได้แม่นยำมากขึ้นครับ
ตัวอย่าง
ถ้าคุณคาดว่า EUR/USD จะวิ่งในทิศทางขาขึ้น คุณจึงเปิด Buy ที่ 1.4950 และเป้าหมาย Take profit ของคุณอยู่ที่ 1.5100 ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.5000 และคุณคาดว่าราคาจะลงมาพักตัวที่ระดับ 1.4980 ดังนั้นคุณจึง Hedge ด้วยการ Sell ที่ 1.5000 และเมื่อราคาลงมาถึงระดับ 1.4980 คุณก็ปิดออเดอร์ Sell ของคุณ คุณก็จะได้กำไรในส่วนนี้ไปก่อน แต่คุณยังเก็บออเดอร์ Buy ในครั้งแรกของคุณไว้และหวังว่าราคาจะวิ่งไปถึงเป้าหมายของคุณ (1.5100) แต่ที่แน่ๆคุณได้กำไรจากการ Hedge ออเดอร์ Sell ไปเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริงในกรณีนี้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดออเดอร์ Hedge แต่ในการเปิดออเดอร์แรกของคุณก็ทำกำไรได้ 30 จุด อยู่แล้ว ( 1.4980-1.4950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก)
และเมื่อมีการ Hedge กำไรของคุณจะกลายเป็น 50 จุด (1.4980-1.4950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก และ 1.5000 -1.4980 = 20 ในการเปิด Sell เพื่อ Hedge)
สรุปก็คือ ถ้ามีการปรับตัวของราคาเกิดขึ้น คุณก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อทำกำไรได้ แต่ถ้าราคาไม่มีการปรับตัว คุณก็อาจจะสูญเสียกำไรส่วนหนึ่งที่คุณควรจะได้รับไป
แต่มีประเด็นที่น่าสนใจคือ บางโบรกเกอร์ไม่อนุญาตให้คุณใช้กลยุทธ์การ Hedging ได้ ดังนั้นคุณควรหาข้อมูลหรือสอบถามกับทาง Broker ก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า หรือใช้กับบัญชีไหนได้บ้าง การเล่นกับโบรกเกอร์เหมือนเล่นกับเสือครับ เขามีข้อแม้ซ่อนเร้นมากมาย พร้อมที่จะกินหัวคุณอยู่ตลอด แต่ทำไงได้ก็เราต้องอาศัยขี้หลังเสือเพื่อล้มช้างนี้ครับ ^_^
========================================

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น