เทรดเดอร์หลายคนมักมีปัญหาในการตีความกราฟที่ซับซ้อนจนเกินไป จนทำให้การเทรดนั้นไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย เทคนิคการการอ่าน Price action อย่างง่าย เพื่อให้เทรดเดอร์เข้าใจกราฟที่อ่านอย่างไม่สับสน และนำไปสู่การเทรดที่มีประสิทธิภาพ
#1 Swings – Highs และ Lows
เป็น Basic ของ Technical analysis คือการใช้ทฤษฎี Dows ในการวิเคราะห์แนวโน้มว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง
ขาขึ้น : ราคาทำ Higher high (ยอดสูงขึ้น) และ Higher Low (ฐานสูงขึ้น)
ขาลง : ราคาทำ Lower High (ยอดต่ำลง) และ Lower Low (ฐานต่ำลง)
ซึ่งจุด ยอด และ ฐาน สามารถพิจารณาได้จาก “รอบสวิง” ของราคา ตามธรรมชาติของราคาแล้วนั้น ราคาไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง มีการแกว่งตัวขึ้นลง อยู่ตลอดเวลา เทรดเดอร์สามารถอาศัยรอบการแกว่งตัวนี้สร้างข้อได้เปรียบในการเทรดได้เช่นกัน
อย่างพวก Swing trader ก็จะซื้อในช่วงที่ราคาย่อตัวในแนวโน้มขาขึ้น หรือ ขายในช่วงราคาดีดตัวในแนวโน้มขาลง เพื่อที่จะได้ราคาที่ดีกว่า เป็นต้น
และอีกการรอบสวิงนั้นยังสามารถบ่งบอกถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาได้อีกมุมหนึ่งคือ ความลึกในการ Pullback ถ้าหากการ Pullback หรือย่อตัว นั้นไม่ลึก แสดงถึงแนวโน้มในช่วงนั้นยังคงแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากการ Pullback นั้นลึก แสดงว่าแนวโน้มนั้นเริ่มอ่อนแอลง
ฟังดูหลักการเหล่านี้มันค่อนข้างง่าย แต่อยากบอกว่าการดู Price action ในลักษณะนี้มันค่อนข้างมีประสิทธิภาพในการใช้งานจริง
จากกราฟด้านล่างแสดงถึงตัวอย่างการวิเคราะห์รอบสวิงของราคา จะเห็นได้ว่าช่วง Bear market หรือขาลง ราคาสร้าง Low ต่ำลง และ High ต่ำลง ซึ่งเราสามารถหาจังหวะ Short ในช่วงที่ราคา Pullback กลับขึ้นมาได้ และในช่วงที่เปลี่ยนแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้นนั้น ราคากลับมายกฐานสูงขึ้น และยอดสูงขึ้น (เส้นสีแดง)
#2 แนวรับ แนวต้าน
จุดที่ราคามักจะเกิดการกลับตัวเกิดขึ้น เมื่อราคาเข้าสู่บริเวณแนวรับ แนวต้านดังกล่าว ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนมากทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นใช้เจ้าสิ่งนี้ในการเทรดทั้งสิ้น
จากกราฟด้านบนจะสังเกตุได้ว่าในช่วงที่ราคาทดสอบระดับแนวรับแนวต้าน (เส้นปะ) มักจะการกลับตัวอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเทรดเดอร์สามารถนำประโยชน์ตรงนี้ไปประกอบการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่อยากจะเสริมในการใช้แนวรับแนวต้านนั้น เราไม่ควรใช้เส้นแนวนอนแบบเส้นเดี่ยว เนื่องจากการเคลื่อนไหวจริงของราคานั้นไม่เป๊ะ 100% แนะนำให้ใช้เป็นโซน หรือบริเวณมากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ทริคการเทรด : เมื่อเราเห็นระดับแนวรับแนวต้านชัดเจนมากเท่าไหร่ มันแสดงว่าคนส่วนมากนั้นเห็นบริเวณนั้นมากเท่านั้น ซึ่งในการเทรดเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า คนส่วนมากมักผิด ในจังหวะที่ทุกคนมีมุมมองเหมือนกัน เทรดในระดับราคาที่เหมือนกัน จังหวะนั้นมักผิดเสมอ ดังวงกลมสีแดงจากกราฟด้านบน คนส่วนมากมักเห็นว่าราคาทะลุผ่านแนวต้านสำคัญได้แล้ว จึงเปิด Long ตาม และสุดท้ายการทะลุนั้นเป็น Bull trap (หรือทะลุหลอก) ซึ่งเทรดเดอร์ควรระมัดระวังในเรื่องนี้
#3 Trend lines
เป็นที่ถกเถียงกันมากว่าการตีเส้น Trend lines นั้นค่อนข้างเป็นอะไรที่ Subjective หรือคล้ายศิลปะ มากกว่า วิทยาศาสตร์ คือเวลาตีมันไม่มีถูกผิด สิ่งสำคัญเทรดเดอร์ต้องรู้ว่าเราตีไปเพื่ออะไร มิฉะนั้นการตีโดยไร้ความหมายนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับการเทรดมั่วๆ
เราไม่ควรใช้เส้น Trend lines เป็นจุด Trigger หรือจุด Buy sell ควรใช้เป็นตัวที่วิเคราะห์ภาพรวมมากกว่า ไว้ดูทิศทาง ไว้ดูแนวโน้ม ถ้าหากเราไปใช้เป็นจุด Buy sell แล้วนั้น จะเกิดข้อผิดพลาดเยอะมาก เทรดเดอร์ต้องระวังในจุดเช่นเดียวกันครับ
#4 เส้นค่าเฉลี่ย
เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ง่ายในการเทรด แต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ สามารถทำหน้าที่หลายหน้าที่ทั้ง
- จุดเข้า จุดออก
- แนวรับ แนวต้าน
- ดูทิศทางแนวโน้ม
จากภาพด้านบน เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (เส้นสีน้ำเงิน) เส้นระยะสั้น นั้นสามารถใช้เป็นจุดเข้า จุดออกของการเทรดได้ ส่วนเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (เส้นสีม่วง) เส้นระยะยาว สามารถใช้เป็นแนวรับในจังหวะที่ราคาย่อตัวลงมา (ลูกศรสีดำ) และสามารถใช้ดูทิศทางของแนวโน้มใหญ่ได้ด้วย ถ้าราคาเคลื่อนไหวเหนือเส้นดังกล่าวเส้นถึงขาขึ้น แต่ถ้าต่ำกว่าแสดงถึงขาลง และในจุดที่กากบาท (สีน้ำ) เป็นช่วงเปลี่ยนแนวโน้มของแนวโน้มใหญ่จากขาขึ้นสู่ขาลง เนื่องจากราคากลับลงมาเคลื่อนไหวใต้เส้นดังกล่าว
ทีมงาน : forexthai.in.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น